top of page

พระไตรรัตน์ในอีสาน วรรณกรรมอีสาน ๕๐ เรื่อง

(ภาคของธรรมรัตนะ)

พระไตรรัตน์หรือพระรัตนตรัยในความหมายและความสำคัญ

พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เกิดขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ทุกชั้นวรรณะ  โดยมุ่งเน้นถึงกลุ่มคนที่มีความวุ่นวายหรือมีความทุกข์  เพื่อดับตัณหาความอยากอันเป็นต้นเหตุความทุกข์  พระพุทธศาสนามีวิธีการแห่งหลักธรรมคำสอนที่เป็นจุดแห่งความคิดมากมาย  โดยอาศัยความศรัทธาเป็นพื้นฐานและมีปัญญาเป็นผลที่เกิดตามมา พระพุทธศาสนามีความสำคัญมากมายหลายประเด็นมีหลักคำสอนสำหรับพัฒนาบุคคลให้บรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดแห่งชีวิตบนพื้นฐานของเหตุผลและความถูกต้อง  ท่านได้กำหนดข้อปฏิบัติในการฝึกฝนอบรมตน ด้วยการให้ละความชั่ว ประพฤติแต่ความดี และทำจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส  ซึ่งในขั้นตอนของการพัฒนาตนนั้น ต้องเริ่มต้นด้วยมีศรัทธา คือมีความเชื่อที่ถูกต้องในหลักเหตุและผลโดยอาศัยปัญญาเข้าไปกำกับทุกขั้นตอนของการปฏิบัติ  แต่การที่คนเราจะมีปัญญาได้นั้น ตนเองก็ต้องรู้จักคิด รู้จักอบรมปัญญาให้เกิดขึ้น ด้วยการฟังจากบุคคลอื่นบ้าง จากการอ่านตำราบ้าง จากการคิดค้นด้วยตนเองบ้าง จากการเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมทั่วไปบ้าง จากประสบการณ์ต่างๆ บ้าง   เมื่อคนเรามีปัญญาความรอบรู้แล้ว จะสามารถใช้เป็นประทีปส่องทางไปสู่ความสำเร็จทั้งในด้านหน้าที่การงาน และการดำเนินชีวิตและยังสามารถที่จะพัฒนาจิตใจตนเองให้เข้าถึงความมีอิสรภาพอย่างแท้จริงอีกด้วย กล่าวคือ ทำให้จิตหลุดพ้นจากการครอบงำของกิเลสและความทุกข์ทั้งปวงได้สำหรับผู้ยอมรับนับถือเอาพระพุทธศาสนามาสู่ชีวิตหรือพุทธศาสนิกชน มีสิ่งอันควรเคารพสูงสุดคือพระรัตนตรัยหรือพระไตรรัตน์ พระรัตนตรัย หรือพระไตรรัตน์ หมายถึง แก้วสามประการ อันประเสริฐสุดของพุทธศาสนิกชน ที่เรียกว่า รัตนะ (แก้ว) เพราะว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ มีค่าสูง และหาได้ยาก เทียบด้วยดวงแก้วมณี พระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้าพระธรรม และพระสงฆ์ ซึ่งเรียกเต็มว่าพุทธรัตนะ, ธรรมรัตนะ, สังฆรัตนะ ซึ่งได้แก่

๑. พระพุทธ คือ ผู้ตรัสรู้ธรรมด้วยพระองค์เอง แล้วสอนผู้อื่นให้ประพฤติชอบตามด้วย

๒. พระธรรม คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

๓. พระสงฆ์ คือ สาวกหรือนักบวชที่ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติตาม             

         

การถึงพระรัตนตรัยว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึก ได้แก่การเปล่งวาจาขอถึงพระพุทธ, พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะที่พึ่งพิงที่ระลึกว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ    แปลว่า  ข้าพเจ้าขอถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึกธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ แปลว่า ข้าพเจ้าขอถือเอาพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก  สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ   แปลว่า    ข้าพเจ้าขอถือเอาพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก ดังนั้น การเข้าถึงพระรัตนตรัยอย่างแท้จริงหมายถึงการนำรัตนะทั้งสามมาเป็นแบบอย่างหรือแนวทางในการดำเนินชีวิต จนเห็นผลคือทำให้ชีวิตมีที่พึ่งได้อย่างแท้จริง พึ่งแล้วพ้นทุกข์เกิดความสุขแก่ชีวิต  แต่การที่จะนำรัตนตรัยมาใช้ในชีวิตนั้นจำเป็นต้องมีความเข้าใจให้ถ่องแท้เป็นเบื้องต้น โดยเฉพาะธรรมรัตนะ อันเป็นคำสอนที่จะเชื่อมโยงชีวิตเข้าสู่เป้าหมายของการปฏิบัติ จะต้องมีความรู้ความเข้าใจและรู้จักใช้อย่างเหมาะสม

วรรณกรรมอีสานคือสะพานธรรมรัตนะ วรรณกรรมอีสาน ได้ถูกนำมาเป็นสะพานธรรมในวิถีชีวิตและสังคมของหมู่ชนอีสานตั้งแต่อดีต ด้วยเป็นนิทานหรือเรื่องราวที่เล่าขานกันอยู่แล้วเป็นทุนเดิมหรือเป็นชาดกที่ยกมาเล่าเป็นแบบพื้นบ้านก็ตาม เมื่อพุทธศาสนามีอิทธิพลด้านความคิดความเชื่อและการดำเนินชีวิตวิถีสังคมผู้คนมากขึ้น ความต้องการหรือความจำเป็นที่จะทำให้เป็นคนดีและสังคมที่ดีงาม ตามหลักธรรมคำสอน ก็ย่อมจะมีมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นวรรณกรรมอีสานกับธรรมรัตนะ จึงเป็นผลิตผลของการปรับประยุกต์ใช้สื่อสอนให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด เราจึงจะเห็นว่าวรรณกรรมอีสานมีลักษณะโครงเรื่องที่แยกได้ชัดเจนอยู่๒ลักษณะ คือ

๑. วรรณกรรมที่มีจุดกำเนิดเค้าโครงเรื่องมาจากชาดกในพระพุทธศาสนาโดยตรง เช่น พระเวสสันดรชาดก  พระจันทกุมาร  พระมโหสถ เหล่านี้เป็นต้น แล้วถูกนักแต่งวรรณกรรมอีสานนำมาประยุกต์เรียบเรียงร้อยเรื่องให้เป็นลักษณะวรรณกรรมภาษาทำนองแบบอีสาน แล้วบางส่วนก็ยังนำวิถีชีวิตอีสานสอดแทรกเข้า ทำให้เกิดความน่าสนใจและอรรถรสของคนในท้องถิ่นยิ่งขึ้น                                               

๒. วรรณกรรมที่นำมาจากเรื่องเล่าหรือนิทานอีสานแต่นำธรรมะหรือคำสอนในพระพุทธศาสนาเข้าไปผสมกลมกลืน เพื่อให้เกิดคุณค่าในเชิงศรัทธาเป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม ทำให้เกิดการยอมรับและสามารถนำไปใช้ในวัดให้พระสงฆ์เทศนาสั่งสอนชาวบ้านได้อย่างไม่เคอะเขิน วรรณกรรมประเภทนี้จะต่างจากลักษณะแรกคือ อย่างแรกเป็นการนำวิถีความคิดความเชื่อประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิม เข้าไปสอดแทรกเค้าโครงหลักชาดกในพระพุทธศาสนา แต่ประเภทที่สอง มีลักษณะตรงข้ามคือการนำเอาคำสอนในพระพุทธศาสนาไปสอดแทรกในเค้าโครงเรื่องเล่านิทานหรือวรรณกรรมตามความนิยมเดิม  เช่น เรื่องนางแตงอ่อน  ขูลูนางอั้ว  ท้าวก่ำกาดำ  นางสิบสอง  นางผมหอม  สังข์ศิลป์ชัย  เป็นต้น                   

 

โดยสรุปทั้งสองประเภทล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือการใช้สื่อสอนธรรมะเข้าสู่ชาวบ้าน ซึ่งมีหลากหลายระดับ แต่วรรณกรรมเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ผู้คนได้ให้ความสนใจใฝ่รู้ได้มากที่สุด เพราะสอดคล้องกับวิถีชีวิตประเพณีวัฒนธรรมของคนในท้องถิ่น ดังนั้นถ้าจะเปรียบวรรณกรรมอีสานเหล่านี้เหมือนขบวนเรือสำเภา บรรทุกสิ่งของมีค่าคือธรรมรัตนะอันประเสริฐ เพื่อให้ชาวอีสานตั้งแต่อดีตได้ใช้เป็นเครื่องประดับจิตกล่อมเกลาใจหล่อหลอมสู่วิถีสังคมอันดีงาม เป็นสังคมของคนที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจ ร่มเย็นเป็นสุขภายใต้สภาพพื้นที่และดินฟ้าอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ก็คงไม่ผิดนัก

วรรณกรรมอีสาน ๕๐ เรื่องกับคุณค่าที่มากับหนังสือ                                                           

เมื่อวรรณกรรมอีสานทั้งหมด ได้รับการยอมรับทั้งในบ้านและในวัด ด้วยสมัยก่อนยังใช้ตัวอักษรธรรมอีสาน อักษรไทน้อยหรือลาว และการศึกษาที่จะทำให้อ่านออกเขียนได้ก็ต้องอาศัยการบวชเป็นพระภิกษุสามเณร จึงจะมีโอกาสได้อ่าน ได้เรียนและเข้าใจ ด้วยบทบาทของพระภิกษุสามเณรที่สำคัญอย่างหนึ่งคือเมื่อศึกษาแล้วก็นำมาบอกมาสอนชาวบ้านที่ส่งข้าวน้ำอุปถัมภ์  เราจึงจะเห็นวัดที่ยังรักษาธรรมเนียมการเทศนาวรรณกรรมอีสานในงานบุญผะเหวด  บุญข้าวสาก  บุญสงกรานต์  บุญออกพรรษา เป็นต้น ยังมีอยู่ทั่วไปหลายวัดในภาคอีสาน  ซึ่งเรื่องที่นำมาเทศน์มีอยู่มากมาย อยู่ที่ว่าความเหมาะสมของเรื่องนั้นๆจะเหมาะสมกับงานบุญใด  ก็เลือกเอามาเทศน์ ต่อมาแม้ระบบการศึกษาจะเปลี่ยนไป โดยการเรียนภาษาไทยในโรงเรียนเช่นปัจจุบัน หนังสือใบลานวรรณกรรมอีสานก็ถูกแปลถูกปริวรรต โดยปราชญ์ชาวอีสานที่มีความสามารถทั้งพระและฆราวาส เช่น พระราชรัตโนบล จังหวัดอุบลราชธานี  พระอริยานุวัตร  จังหวัดมหาสารคาม เป็นต้น ด้วยวรรณกรรมอีสานเป็นการแต่งเรื่องผ่านมุมมองทางสังคม ขนบธรรมเนียมประเพณีและวิถีชีวิต โดยนำหลักธรรมทางพุทธศาสนาเข้ามาเป็นเหตุผลในบริบทเหล่านั้นโดยส่วนมาก แม้จะมีความมุ่งหมายเพื่อความบันเทิงเริงใจบ้าง นั่นก็เพื่อให้เกิดความน่าสนใจและถูกอัธยาศัยคนอีสาน จึงถือว่าวรรณกรรมอีสานมีคุณค่าต่อผู้ที่ได้ศึกษา เพื่อให้เกิดมุมมองจากพื้นฐานสังคมอีสานในอดีต คุณค่าทางธรรมที่สอดแทรกไว้ในพื้นที่ความหมายของวรรณกรรม ซึ่งในโอกาสที่ฝ่ายศิลปวัฒนธรรมและชุมชนสัมพันธ์ สำนักวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้นำเอาวรรณกรรมอีสานที่มองผ่านธรรมรัตนะจำนวน๕๐เรื่อง มาจัดพิมพ์เผยแพร่ได้คัดเอาเรื่องที่ทรงคุณค่าที่เหมาะสมกับความหมายของธรรมรัตนะ ซึ่งจะเป็นคุณเป็นประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมหลายประการ อาทิ เช่น

๑. คุณค่าในเชิงธรรม วรรณกรรมที่พระสงฆ์นำมาเทศน์ล้วนแต่มุ่งหมายให้เกิดผลทางธรรมทั้งสิ้นแม้จะมีประเด็นอื่นบ้างแต่ก็จะไม่ทิ้งธรรม สอนให้คนเป็นคนดี รู้จักบาปบุญคุณโทษ ให้เห็นถึงผลกรรมดีชั่วชัดเจน โดยผ่านบทบาทและเรื่องราวในวรรณกรรม                    ๒. คุณค่าในเชิงขนบธรรมเนียมประเพณี โดยเฉพาะเกี่ยวกับฮีต๑๒ เพราะการเทศนาตามวัดต่างๆก็ต้องถือเอาเวลามีงานบุญในฮีต๑๒เป็นหลัก ดังนั้นปราชญ์ผู้แต่งแต้มวรรณกรรมอีสาน จึงได้สอดแทรกความเชื่อประเพณีไปพร้อมกับคำสอนในเชิงธรรม ซึ่งจะเป็นไปแบบกลมกลืนอย่างที่ผู้ฟังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำดังนั้นถ้าคุณค่าในเชิงธรรมคือการสอนธรรม คุณค่าในเชิงขนบธรรมเนียมประเพณีก็คือการสอนในเชิงจริยธรรมคือการปฏิบัติตามเพื่อให้เกิดความดีงามในหมู่คน ซึ่งส่วนมากขนบธรรมเนียมประเพณีเหล่านี้ ก็ได้รับอิทธิพลจากผลการนำเอาคำสอนหรือธรรมรัตนะมาใช้นั่นเอง

๓. คุณค่าในเชิงวิถีชีวิต ในวรรณกรรมอีสานส่วนมากมักจะแสดงถึงการดำรงชีวิต ความเป็นอยู่ ความทุกข์ยากลำบากหรือความสุขสนุกสนาน อันเป็นการสะท้อนบริบททางสังคมในยุคนั้นๆ แต่ถ้าศึกษาให้ดีก็จะพบถึงเป้าหมายในการนำเสนอวิถีเหล่านั้นมีเหคุผลมาจากการกระทำคือกรรมทั้งในอดีตหรือปัจจุบัน พร้อมกันนี้สิ่งที่วรรณกรรมอีสานเกือบจะทุกเรื่องขาดไม่ได้คือการชี้ทางออกของปัญหาในการดำรงชีวิตหรือคุณค่าของการมีชีวิตว่า การทำดีมีธรรมประจำใจต่างหากคือคุณค่าของชีวิต มิใช่ฐานะ ความเป็นอยู่ หรือทรัพย์สินเงินทอง แต่ชีวิตที่มีความดีประดับคือชีวิตที่มีค่ามีคุณ ซึ่งถ้าจะมองประเด็นนี้ก็จะเห็นได้ว่าท้ายที่สุด แม้เรื่องวิถีชีวิตในวรรณกรรมก็นำธรรมมาเชิดชูบูชาอยู่นั่นเอง                             

 

ดังนั้น หนังสือพระไตรรัตน์ในอีสานภาคธรรมรัตนะ ที่นำเอาวรรณกรรมอีสาน๕๐เรื่อง มาจัดพิมพ์เผยแพร่จึงครบถ้วนกระบวนธรรมแห่ง”ธรรมรัตนะ” เป็นการคัดสรรนำเอาคุณค่าแห่งแก้วอันประเสริฐส่วนแห่งธรรม ที่ถูกนำเก็บไว้ในวรรณกรรมอันล้ำค่ามากคุณ ด้วยปัญญาอันชาญฉลาดของนักปราชญ์ด้านวรรณกรรมอีสานในอดีต ให้เกิดการศึกษาเรียนรู้แก่ผู้ที่สนใจให้เกิดปัญญาทางธรรมอีกยุคสมัย แสดงถึงธรรมของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐว่าเป็นอกาลิโก คือไม่ประกอบด้วยกาล ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ไม่ขึ้นกับสมัยคือใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย เปรียบดังรัตนะคือดวงแก้วมณีอันประเสริฐที่มีค่าล้ำเลิศในทุกกาลเวลาเช่นกัน    

พระครูบุญชยากร  เจ้าคณะตำบลสาวะถีเขต ๑ ขอนแก่น

เจ้าอาวาสวัดไชยศรี ต.สาวะถี อ.เมือง  จ.ขอนแก่น

bottom of page