top of page

กาละนับมื้อส่วย

เนื้อเฮื่อง

   กาละนับมื้อส่วย เว้าเถิงเหตุการณ์บ้างเมืองเบื้องหน้าหลังจากพระพุทธองค์เจ้าเข้าสู่พระนิพพาน พระพุทธองค์เจ้าได้ตรัสเว้าแก่พระอานนท์ผู้อุปัฏฐากซ่วงใกล้ที่สิเสด็จเข้าพระนิพพาน

   พอแต่พระพุทธองค์เจ้าใกล้สิเข้าปรินิพพาน ได้ตรัสเว้ากับพระอานนท์ว่า เบิ่งสาก่อนอานนท์เอ๋ย สัตว์โลกที่เกิดมาในวัฏฏะสงสารนี่สิพากันหมุนเวียนเข้าสู่ความคับขัน   ในซ่วงเคิ่งพุทธกาลคือ เฮาตถาคตล่วงไปแล้วได้ 2500 ปี มวลมนุษย์และสัตว์สิได้พบพ้อภัยพิบัติไปเคิ่งนึ่ง กินเวลากว่า 30 ปี แล้วในซ่วงนี้ยุคนี้ อันได๋กะตามที่มวลมนุษย์บ่เคยพบพ้อกะสิเกิดขึ้นมาให้เห็น ยักษ์หินที่ถืกสาบให้หลับใหลกะสิลุกขึ้นมาอาละวาด ซ่วงกึ่งพุทธกาล ภัยพิบัติของมนุษย์กะสิแฮงกว่าเก่า มนุษยืนอกศาสนากะสิออกมารบราฆ่าฟันกัน เลือดคนตายไหลกองปานสายน้ำ ในเวหาอากาสกะสิเกิดลูกไฟ ตกมาสู่แผ่นดินพอปานฝนตกฟ้าฮั่วเผาผลาญให้มนุษย์พากันตายถิ่มเสีย แต่ละฝ่ายต่างสิทำฮ้ายกัน แผ่นดินแลผืนน้ำกะฮ้อนพอปานเปลวไฟ คนตายไปฝ่ายละเคิ่งสงครามนั้นจั่งสิเซา

 

   ส่วนว่าพุทธศาสนิกชนผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ขวนขวายคุณความดี  เดินตามทางของพุทธะกะสิสามารถระงับความฮ้อนแฮงแห่งไฟทุกข์ยากสงครามเหล่านั้น แม่นว่าผู้ได๋มีความเคาฮพบูซาพระพุทธศาสนา  แลผ้ากาสาวพัตร์กะสิได้ฮับภัยพิบัติเพียงน้อย      แต่คันสิให้หลีกพ้นภัยนั้นเสียเป็นบ่ได้ ภัยทั้งหลายของมนุษย์นี่ เฮิ่มเกิดขึ้นในซ่วงศาสนาของเฮาตถาคตล่วงไปได้ 2485 ปีเป็นเค้า ไฟสิลุกลามมาแต่ทางตาเว็นตกไหม้วัดวาอาฮาม สมณะซีพราหมณ์กะสิอดสิอยากทุกข์ยากไฮ้ คนบ้านสิเข้าป่า สัตว์ป่าสิเข้าสู่กรุง เมืองหลวงสิฮ้อนปานไฟ ดวงไฟสิตกจากฟ้าเป็นเพลิงเผาผลาญ  เหล็กกล้าสิมาทางมหาสมุทร คนเจ็บซ้ำศึกสงครามสิเข้าสู่บ้าน ทหารสิเป็นเจ้า  ข้าวสิขาดแคลน ทั่วทุกแคว้นกะสิอดอยาก หมากพลูสิเบิดเมือง  นักปราชญ์เปลื่องสิสูญสิ้น ราซตระกูลเสนาอำมาตย์ราษฎรสิถืออำนาจเป็นธรรม บ่เคารพหลักพระธรรม  โลกสิวุ่นวาย คำเว้าจาของคนคดโกงที่เว้าขี้ตั๋วประจบสอพลอสิมีคนเซื่อถือในสังคม สันนิบาตผู้มีศีลธรรมนำประพฤติซอบสิบ่มีเสียง อธรรมสิเว้าว่าผู้ถือธรรมเป็นบ้า

 

    สิเกิดโจรวุ่นวาย โลกสิเป็นน้ำ ผีขมวดสิเข้าสู่เมือง พระเสื้อเมืองสิเข้าป่า เทวดา      สิหว่างแมงขี้แหล็กแสนหนึ่ง ผีเสื้อเหล็กโกฏหนี่ง ให้เป็นไข้ภัยผลาญ  พอแต่ศาสนาของเฮาตถาคตล่วงไปได้ 2507 ปี คนสิเปลี่ยนจากย่างเป็นคลาน ล่วงเถิ่ง 2508 ปีมะเส็ง ตลิ่งสิพังแผ่นดินอธรรมสิล่มสลายเป็นทะเล ล่วงเถิงปี 2512 ปีฮะกา โลกหมู่มนุษย์สิมืด 7 มื้อ 7 คืน โลกเข้าสู่ความหายนะ แม่นว่าผู้ได๋จำเริญเมตตากรุณา บ่พยาบาทเบียดเบียนข่มเหง ญึดถือเอาคาถาพระตถาคตเจ้ากะสิพ้นโพยภัย เบิ่งสาก่อนอานนท์เอ๋ย เฮาตถาคตนี่มีความสงสารมวลสัตว์โลกเป็นที่สุด ที่มีอายุขัยเคิ่งพุทธกาลอันว่าบุคคลสิเปลี่ยนสภาพจากหย่างเป็นคลาน พอแต่พระศาสนาของเฮาตถาคตล่วงเถิงปี 2513 ปีจอ ดวงอีเกิ้งสิสองแสงสู่โลก พอลวงเถิงปี 2515 ปีซวด กะสิพ้นยุคภัย เวลา 30 ปีแห่งยุคภัยพิบัติในซ่วงเคิ่งพุทธกาล คนอธรรม คือ คนที่บ่อยู่ในศีลธรรมกะสิเบิ่ดไป พวกมิจฉาทิฐิกะสิเบิดไปจากโลก       อธรรมสิแพ้ในที่สุด  ครุฑสิบินกลับถิ่นสถาพร คนจรสิหลบสู่กรุงบำฮุงธรรม ธรรมสิ  ซนะอธรรม เฮากะสิได้อยู่บ้านอยู่เมืองต่อไป เวียกงานการสร้างของมนุษย์สิสำเร็จได้ย้อนอริยสัจโดยบ่เบียดเบียนแฮงงานผู้ได๋ ทุกคนสิสมบูรณ์ด้วยศีลธรรมแล้วมีซีวิตผาสุขฮ่มเย็น เอิ้นว่า “ศิวิไลซ์” สิมีพระมหากษัตริย์ซื่อว่า “ธรรมมิกราซา” กับพระมหาโพธิสัตว์ สิเข้ามาจัดการทำนุบำฮุงพระพุทธศานาให้จำเริญฮุ่งเฮืองยิ่งขึ้นไป พระมหาโพธิสัตว์นั้นสิเกิดเมื่อพุทธศาสนาล่วงไปได้ 2455 ปี  ต่อมาเถิงปี 2467 พระมหากษัตริย์ธรรมิกราซาสิเกิดขึ้น เทิงสองพระองค์สิสถิตย์อยู่เบื้องตาเว็นออกของมัชฉิมประเทศ ซ่วงระหว่างปีจอมาต่อปีกุน คือ พุทธศักราช 2513-2514 ผู้มีบุญทั้งสองพระองค์นั้น สิเข้ามำนุบำฮุงพระศาสนาของพระตถาคตโดยแท้ สมณะซีพราหมณ์สิเกิดตามมา 84,000 องค์

เบิ่งสาก่อนอานนท์เอ๋ย เฮาตถาคตนี้สงสารสัตว์โลกเหลือที่สุด โลกสิเดือดสิฮ้อนตามคำทวยของเฮาตถาคตอีหลี เพื่อสิเป็นการเตือนให้สัตว์โลกอยู่ได้ด้วยความบ่ประมาท

ตัวละคร  พระพุทธเจ้า ตรัสทำนายอนาคตคก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จสู่นิพพาน

 

ต้นฉบับ   ต้นฉบับของตอนที่ยกมานี้ บอกไว้ในหนังสือ อีสาน ฉบับกาละนับมื้อส้วย หรือ พุทธทำนาย ว่า พุทธทำนายฉบับนี้ มีผู้ถ่ายและแปลเป็นภาษาลาวแบบคำเว้า (พูด) ธรรมดาว่ามาจากศิลาจารึกที่วัดเชตุพน-พุทธคนา ประเทศอินเดีย ไม่ปรากฏชื่อผู้ถ่ายและแปล

พุทธศาสนาและความเชื่อหรือประเพณี  เรื่องกาละนับมื้อส่วย หรือ พุทธทำนาย เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการทำนายโลกในอนาคต ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสต่อพระอานนท์ก่อนที่จะเสด็จสู่นิพพาน เพื่อจะเตือนให้สัตว์โลกทั้งหลายตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

ธรรมจะชนะอธรรม การงานของมนุษย์จะสำเร็จด้วยอริยสัจซึ่งจะต้องไม่เบียดเบียนแรงงานผู้ใด

ทุกคนจะสมบูรณ์ด้วยศีลธรรมและชีวิตอันผาสุกนี้เรียกว่า “ศิวิไลส์”

bottom of page