พระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสสโก
เจ้าอาวาสวัดป่านาคำน้อย อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี
ประวัติ
พระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสสโก เกิดเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๘ ตรงกับปีระกา ที่บ้านหนองแวง ตำบลหนองสูงใต้ อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร (จังหวัดนครพรมในขณะนั้น) โยมบิดาชื่อ คุณพ่อแดง โยมมารดาชื่อ คุณแม่จอมแก้ว ผิวขำ เป็นบุตรคนที่ ๖ ในจำนวนพี่น้อง ๗ คน เป็นหญิง ๓ คน เป็นชาย ๔ คน
ท่านบรรพชาขณะมีอายุ ๑๑ ปี ณ วัดกลางสนาม อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ โดยมี หลวงปู่กงแก้ว ขันติโก เป็นพระอุปัชฌาย์ บรรพชาแล้ว ได้อยู่ศึกษาปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่หล้า เขมปัตโต วัดบรรพตคีรี (ภูจ้อก้อ) ตำบลหนองตูมใต้ อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร เป็นระยะเวลา ๙ ปี และได้รับการญํตติเป็นพระภิกษุที่วัดศิลาวิเวก อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๘ โดยมีหลวงปู่คำ คัมภีรญาโณ เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่ออุปสมบทแล้ว ในพรรษาแรกได้อยู่จำพรรษากับหลวงปู่หล้า เขมปัตโต ที่วัดภูจ้อก้อ อีกหนึ่งพรรษา หลังจากนั้น ได้ไปจำพรรษากับหลวงปู่จาม มหาปุญโญ ที่วัดป่าวิเวกวัฒนาราม บ้านห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ๑ พรรษา แล้วติดตามองค์หลวงปู่จาม ขึ้นไปจังหวัดเชียงใหม่ และไปจำพรรษากับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ณ วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเวลา ๑ พรรษา แล้วกลับลงมาจำพรรษาอีกครั้งหนึ่งกับหลวงปู่จาม มหาปุญโญ ที่วัดป่าห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร
หลังจากนั้น ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๒ – ๒๕๒๕ ได้อยู่จำพรรษาที่วัดป่าบ้านตาด ตำบลบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี กับองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ช่วงออกพรรษา ได้ลงองค์หลวงตามาวิเวกในแถบจังหวัดเลย อุดรธานี หนองคาย
ราว พ.ศ. ๒๕๒๓ เห็นว่าสถานที่ตั้งวัดป่านาคำน้อยในปัจจุบัน เป็นสถานที่สัปปายะเหมาะสำหรับการภาวนา จึงได้รวมกับคณะศรัทธาญาติโยม พุทธบริษัททุกหมู่เหล่าร่วมกัน จัดตั้งเป็นวัดปฏิบัติในพระพุทธศาสนา และได้พัฒนาให้มีความเจริญสืบเนื่องเป็นลำดับมา อำนวยประโยชน์สมตามปณิธานของท่านผู้ก่อตั้งวัด ที่จะให้สถานที่แห่งนี้เป็นสถานฝึกอบรมทั้งทางร่างกาย (ศีลธรรม) และจิตใจ (จริยธรรม) ให้เป็นผู้สมบูรณ์ทั้งทางด้านวิชชาและจรณะควบคู่กันไป สมตามพุทธภาษิตที่ว่า “อัตตานัง ทะมะยันติ ปัณฑิตา บัณฑิตย่อมฝึกซึ่งตน)
ธรรมโอวาท
"อกตฺ ทุกฺกฏํเสยฺโย (อะกะตัง ทุกกะตัง เสยโย) ความชั่วอย่าทำเสียเลยดีกว่า เพราะความชั่วย่อมตามเผาผลาญเมื่อภายหลัง"
"คนโกหกทั้งๆที่รู้ จะไม่ทำความชั่วอย่างอื่น เป็นไม่มี"
"ศีลห้านี้ ถ้าเราเปรียบเทียบประมวลแล้ว สรุปแล้วก็คือ เอาใจเขามาใส่ใจเรา เอาใจเราไปใส่ใจเขา
ถ้าว่าเราไม่ต้องการอย่างนั้น เราก็ไม่ควรทำให้คนอื่นเขา นี่แหละคือศีลของพระพุทธเจ้า ศีลธรรมของพระพุทธเจ้านั้น มีคุณค่า มีประโยชน์ แล้วสมควรให้ใครเป็นผู้รักษา เป็นหน้าที่ของพวกเราทุก ๆ ท่านพวกเราต้องการ ความสงบ ร่มเย็น เป็นสุขในชุมชนของพวกเรา พวกเราต้องเทิดทูนบูชาศีลห้า ศีลธรรมของพระพุทธเจ้า พวกเราจะได้รับแต่ความสงบ ร่มเย็น เป็นสุขถ้วนหน้ากัน แต่ถ้าพวกเราขาดศีลห้าแต่อย่างเดียวเท่านั้น ก็หาความไว้เนื้อเชื่อใจกันไม่ได้ ในชุมชนสังคมของพวกเรา เป็นที่ระแวงแคลงใจกันตลอด ไม่รู้ว่าใครจะออกมาไม้ไหน ตรวจแล้วตรวจอีก ก็ยังไม่มั่นใจ ให้พวกเราคิดดูเอาก็แล้วกัน ว่าศีลห้า เป็นศีลคุ้มครองโลกนั้นจริงไหม ถ้าคนทั่วทั้งโลกนี้มี ศีลห้าทั้งหมด ก็ไม่ต้องออกกฏหมายมาเพื่อลงโทษคนที่กระทำความผิด จริงไหม?"
"แข่งกันดี ได้ดีบางคน แย่งกันดี ไม่ได้ดีซักคน แบ่งกันดี ได้ดีทุกคน"