top of page

หลวงปู่ปัญญา ปัญญาวัฑโฒ

พระปีเตอร์ จอห์น มอร์แกน (Peter J. Morgan)

วัดป่าบ้านตาด  ตำบลบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี 

ประวัติ

    “หลวงปู่ปัญญา ปัญญาวัฑโฒ” ท่านเป็นชาวอังกฤษ มีนามเดิมว่า ปีเตอร์ จอห์น มอร์แกน (Peter J. Morgan) ท่านเป็นพระฝรั่งรูปแรกที่เป็นศิษย์พระป่ากรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต โดยเป็นศิษย์ของ “พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)” แห่งวัดป่าบ้านตาด และเป็นสัทธิวิหาริกของ “สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)” แห่งวัดบวรนิเวศวิหาร อีกทั้งยังเป็นพระอริยเจ้าที่เป็นฝรั่งรูปแรกที่บรรลุธรรมในประเทศไทย ท่านเป็นผู้ฝักใฝ่ศึกษาในทางพระพุทธศาสนา ค้นคว้าพระไตรปิฎก ท่องเที่ยวรอนแรมไปในหลายประเทศที่มีพระพุทธศาสนาหยั่งรากฝังลึก เช่น ประเทศเนปาล ศรีลังกา พม่า เป็นต้น โดยเฉพาะประเทศอินเดียอันเป็นแผ่นดินต้นแบบ ท่านพยายามศึกษาค้นคว้าวิจารณ์วิจัยธรรมเรื่อยมา เมื่อทราบข่าวว่าประเทศใดมีพระภิกษุที่บรรลุธรรมตามคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็จะเดินทางไปถวายตัวเป็นศิษย์ทันที เพื่อแสวงหาสันติบท (ทางไปพระนิพพาน)


    นอกจากนี้แล้วท่านยังมีศีลาจริยวัตรอันงดงาม มีความเพียรเป็นเลิศ และเป็นผู้แปลหนังสือธรรมะของพ่อแม่ครูบาอาจารย์เป็นภาษาอังกฤษ ทำให้ชาวต่างชาติเกิดศรัทธาปสาทะ เลื่อมใส หันมาให้ความสนใจในพระพุทธศาสนา และเข้ามาศึกษาข้อวัตรปฏิปทาตามรอยพระอริยเจ้าในประเทศไทยอย่างมากมาย 


    ท่านเกิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๖๘ วันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีฉลู ณ ประเทศอินเดีย ในเหมืองทองโคลาร์ รัฐไมซอร์ (ปัจจุบันเรียกว่า การ์นาตากะ) ภาคใต้ของอินเดีย ที่อยู่ ณ ประเทศอังกฤษ ตำบลบริน อำเภอแลนเนลี กรุงลอนดอน เป็นบุตรของ นายจอห์น วัตคิน มอร์แกน (J. W. Morgan) และ นางไวโอเลต แมรี่ มอร์แกน (V. M. Morgan) มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๓ คน ชาย ๒ คน หญิง ๑ คน ท่านเป็นบุตรคนโต วิทยฐานะจบการศึกษาปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า จากฟาราเดย์เฮาส์ วิทยาลัยเทคนิคในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มีอาชีพเป็นวิศวกรไฟฟ้า ท่านใช้ชีวิตเป็นฆราวาสอยู่ ๓๐ ปี
โดยไม่แต่งงาน 


     เมื่ออายุได้ ๓๐ ปี ด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ท่านจึงตัดสินใจเข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๘ ณ พุทธวิหาร กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ (ซึ่งรัฐบาลศรีลังกาสร้างไว้) โดยมี พระกปิลวัฑโฒภิกขุ (ซึ่งเป็นพระภิกษุชาวศรีลังกา แต่อุปสมบทในประเทศไทย) เป็นพระอุปัชฌาย์ 


    เมื่ออายุได้ ๓๑ ปี พระกปิลวัฑโฒภิกขุ พระอุปัชฌาย์ในคราวบรรพชาเป็นสามเณร ได้พาท่านเข้ามาในประเทศไทย แล้วได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุในคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๙ โดยมี พระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร) วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้ถวายตัวเป็นศิษย์และศึกษาวิชชาธรรมกายกับหลวงพ่อสดอยู่ระยะหนึ่งจนเป็นที่กระจ่าง ในเดือนกรกฎาคมปีนั้นเอง ท่านได้เดินทางกลับประเทศอังกฤษ พักจำพรรษาอยู่ ณ พุทธวิหาร กรุงลอนดอน เป็นเวลากว่า ๕ ปี 


    ปีพุทธศักราช ๒๕๐๔ ได้กลับมาประเทศไทยอีกครั้ง ได้พักจำพรรษาอยู่ ณ วัดชลประทานรังสฤษฏ์ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ในความดูแลของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ 


    วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๐๖ ได้มีโอกาสเข้ามาศึกษาข้อวัตรปฏิบัติในสำนักวัดป่าบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เป็นครั้งแรก ในความดูแลของหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เกิดความเลื่อมใสในมรรคปฏิปทาเป็นอย่างยิ่ง มองเห็นช่องทางที่จะหลุดพ้นไปจากทุกข์ได้ จึงถวายตัวเป็นศิษย์และอยู่จำพรรษาเรื่อยมา 


    อายุ ๓๙ ปี ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทครั้งที่ ๒ ในคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ด้วยวิธีทัฬหีกรรม (คือทำการอุปสมบทซ้ำโดยไม่ต้องลาสิกขาไปเป็นฆราวาสก่อน) เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๐๘ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร โดยมี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสาสนโสภณ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระญาณวโรดม (สนธิ์ กิจฺจกาโร) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระเทพญาณกวี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “ปญฺญาวฑฺโฒ” ซึ่งแปลว่า “ผู้เจริญด้วยปัญญา” ฉะนั้น ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์ลูกหาทั่วไปจึงได้เรียกชื่อท่านสั้นๆ ว่า “ปัญญาๆ”ตั้งแต่นั้นมา (ท่านอุปสมบทพร้อมกันกับ พระอาจารย์เชอร์รี่ อภิเจโต แห่งวัดป่าบ้านตาด)

 
    พระฝรั่งรูปแรกที่บรรลุธรรมในประเทศไทย  หลวงปู่ปัญญา ปัญญาวัฑโฒ อดีตรองเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด ท่านมีอุปนิสัยสุขุม ละมุนละไม เป็นกันเอง สนทนาธรรมรสกลมกล่อมหนักในโยนิโสมนสิการธรรม ไหวพริบดี เป็นที่ไว้วางใจของหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เป็นอย่างยิ่ง ท่านเป็นผู้มีความเพียรสม่ำเสมอ อิริยาบถสมาธิภาวนาที่ท่านนิยมมากที่สุดคือ การเดินจงกรม วันหนึ่งๆ ในชีวิตนักบวชผู้ประพฤติพรหมจรรย์ของท่านผ่านไปด้วยการเดินจงกรม ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ท่านจึงได้รับการยกย่องจากองค์หลวงตามหาบัวว่า “สุขุม ฉลาด ไม่มีที่ต้องติ บรรลุธรรมในปี ๒๕๔๐” 


    พระธรรมเทศนาโดย หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน บางตอนเมื่อค่ำของวันพุธที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๗ ณ สวนแสงธรรม เขตบางแค กรุงเทพมหานคร กล่าวถึง หลวงปู่ปัญญา ปัญญาวัฑโฒ ว่า 

    “...ท่านปัญญาทำประโยชน์ให้วัดนี้มาก ท่านปัญญาเป็นพระชาวอังกฤษ ขอมาอยู่ที่วัดนี้ถึง ๕ หน หนที่ ๕ เราถึงได้รับไว้ ท่านมาอยู่ตั้งแต่ปี ๒๕๐๖ จนกระทั่งป่านนี้เป็น ๔๑ ปี ท่านทำประโยชน์ให้ท่านก็เต็มเม็ดเต็มหน่วย ทำประโยชน์ให้โลกเฉพาะอย่างยิ่งในวัดป่าบ้านตาด ท่านทำประโยชน์ให้วัดนี้มากมายก่ายกองทีเดียว นี่ละพระชาวอังกฤษ ท่านมาอยู่ที่นี่แล้วก็เป็นกำลังให้บรรดาเมืองนอกเมืองนาที่เข้ามาได้ติดต่อกับท่าน เป็นกำลังใจจากท่านอยู่ตลอดทีเดียว ท่านให้อุบายวิธีการต่างๆ บรรดาพระที่มาจากต่างประเทศได้อาศัยท่านปัญญาเป็นแนวทางเดิน สำหรับเรานั้นนานๆ จะมีทีหนึ่ง ท่านปัญญาเป็นพื้นฐานที่จะเชื่อมโยงถึงบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายที่มาจากเมืองนอก ได้เข้ามาอาศัยท่าน เวลานี้พระต่างชาติเข้ามาอยู่ที่นี่มากมายก็ได้อาศัยท่านปัญญานั่นแหละ

 
    ท่านปัญญาได้ทำประโยชน์ให้วัดป่าบ้านตาดมากมายนะ ทำให้มากจริงๆ ไม่ใช่ธรรมดา เพราะเป็นช่าง เป็นช่างได้ทุกแบบท่านปัญญา ถามตรงไหนไม่มีอั้นเลย ไม่ว่าเครื่องยนต์กลไกอะไรทำเป็นหมด รถไฟ เรือเหาะเรือบิน ทำเป็นหมด จนกระทั่งจรวดดาวเทียม เราถามว่าทำได้ไหม ทำได้ท่านว่า แต่ว่าสิ่งเหล่านี้คนต้องจำนวนมากมายที่จะทำ คนเดียวทำไม่สำเร็จ ท่านก็มีทางออกของท่าน เราถามไปตรงไหนนี้ไม่มีอัดมีอั้นนะ ท่านรู้หมด เขาเรียกว่าวิศวปรมาณูหรืออะไร เพราะฉะนั้นท่านจึงเก่งทุกด้านทุกทาง แม้ที่สุดรถยนต์เข้าไปในวัด ไปตายอยู่ในวัด ท่านก็แก้ให้ รถเข้าไปในวัด ไปตายในวัดออกไม่ได้ ท่านก็แก้ได้ ไล่ออกจากวัดไป ท่านเก่งหมดเรื่องนาฬิกงนาฬิกา พวกเทปพวกวิทยุเหล่านี้ทำเป็นหมด อยู่ในวัดท่านแก้ให้ทั้งนั้น ท่านเก่งมากทุกอย่าง ก่อสร้างอะไรมีแต่อุบายสติปัญญาของท่านปัญญา ท่านปัญญาวางรอยมือไว้หมดเลย จึงว่าท่านเป็นผู้มีบุญมีคุณต่อวัดมาก 


    เวลาท่านดับจิตก็สงบเงียบไป ว่างั้น นี่สมชื่อสมนามกับพระปฏิบัติดูจิตของตัวเอง ท่านปัญญาก็ดีอยู่ไม่มีที่ต้องติ เวลาจะดับก็ไปด้วยความสงบเงียบเลย...พอสิ้นลมพระก็โทรมาเลย เราก็ทราบแล้วอย่างนี้ เราได้สั่งไว้หมดแล้วไม่มีปัญหาอะไร ให้จัดโดยสมบูรณ์ตามที่เราสั่งไว้แล้ว เวลาเรากลับไปก็เป็นอีกหน้าที่หนึ่งที่เราจะพาดำเนิน 


    ท่านได้หลักใจจริงๆ แหละท่านปัญญา...จากพุทธศาสนาไม่สงสัย ถึงขนาดท่านยังพูดเอง พูดแบบไม่ลำเอียงให้เราฟังต่อปากต่อคำกัน ว่าท่านเสียดาย ท่านว่าอย่างนั้นนะ ถ้าพูดถึงเรื่องทางความฉลาดแล้วยกให้ว่าฝรั่งนี้ฉลาด แต่ทางธรรมนี้ฝรั่งโง่ ว่างั้นนะ คือพุทธศาสนานี้เป็นศาสนาที่เลิศเลอ พวกฝรั่งไม่ค่อยเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงว่าดีอันหนึ่ง ก็มาเสียอันหนึ่ง แล้วท่านก็ฉลาดดีนะ อันนี้มันก็คงเป็นกรรมของสัตว์ แน่ะท่านว่า น่าฟังนะท่านพูด คือทางฉลาด ฉลาดไปทางโลกทางสงสาร ทางวัฏวนเสีย ให้ฉลาดมาทางธรรมนี้ไม่ฉลาด โง่เสียตอนนี้ จากนั้นท่านก็สรุปว่าคงเป็นกรรมของสัตว์นั้นแหละ ท่านว่า มันก็ถูกต้องหมดใช่ไหมล่ะ 


    เราจะถือเรื่องความฉลาดภายนอกมาวัดไม่ได้นะเรื่องธรรม ธรรมเป็นอันหนึ่ง กิเลสเป็นอันหนึ่งต่างหาก ท่านพูดเองนะ ท่านเสียดายอยากให้ฝรั่งที่ว่าฉลาด ๆ หันเข้ามาปฏิบัติทางพุทธศาสนา ทางด้านจิตตภาวนาบ้าง แล้วฝรั่งจะทำประโยชน์ได้มากมายทีเดียว ว่างั้นนะ ถูกต้อง แต่นี้มันก็เป็นอย่างว่านั่นแหละ มันไม่มาสนใจเสีย โง่ไปทางหนึ่งเสีย แล้วท่านก็สรุปว่า อันนี้ก็คงเป็นกรรมของสัตว์นั้นแหละ เราก็หมดท่า ท่านพูดฉลาดดีนะ ท่านปัญญาท่านพูดฉลาดดี 


    ท่านสุขุมมากท่านปัญญา ไม่มีที่ต้องติ ตั้งแต่วันมาอยู่กับเราไม่เคยได้ดุเลยนะ ไม่มี เรียบ สุขุมมาโดยตลอด ฉลาดมาตลอด พวกชาวเมืองนอกมาก็อาศัยท่านชี้แนะๆ พอท่านเสียไปก็จะเสียประโยขน์ไปทางหนึ่งเหมือนกัน อายุท่าน ๗๙ เกือบ ๘๐ นะ”

มรณภาพ 

    หลวงปู่ปัญญา ปัญญาวัฑโฒ ท่านได้ละสังขารเข้าสู่แดนบรมสุขอย่างสงบด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เมื่อวันพุธที่ ๑๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗ เวลา ๘.๓๐ น. ตรงกับวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๙ ปีวอก ภายในกุฏิ ณ วัดป่าบ้านตาด สิริอายุรวมได้ ๗๘ ปี ๑๐ เดือนพอดี นับเป็นวันได้ ๒๘,๗๙๑ วัน อุปสมบทได้ ๘ พรรษาในมหานิกาย และ ๓๘ พรรษาในธรรมยุติกนิกาย รวมเวลาที่ได้พำนักอยู่ ณ วัดป่าบ้านตาด เป็นเวลา ๔๑ ปี (นับแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๖) หลังจากอาพาธด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่มานาน แต่เนื่องจากท่านเป็นพระปฏิบัติสายวิปัสสนากรรมฐาน ท่านจึงไม่ประสงค์ที่จะรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ จนทางโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีต้องส่งคณะแพทย์ พยาบาล มาคอยดูแลและให้คำแนะนำท่านในเรื่องนี้ และเนื่องด้วยหลวงปู่ปัญญาท่านประสงค์จะปฏิบัติกิจของสงฆ์ตามปกติ จึงทำให้อาการลุกลามของมะเร็ง ๒ จุดลามเข้าไปในตับ ต้องรับการตรวจ ดังนั้น เมื่อต้นเดือนสิงหาคมท่านจึงได้เข้าพักรักษาตัว ณ โรงพยาบาลศูนย์อุดร ๑ คืน และขอกลับไปที่วัดเอง จากนั้นในวันที่ ๙ - ๑๒ สิงหาคม ก็ต้องมารับการตรวจอีก คณะแพทย์ได้รับอนุญาตให้ทำได้เพียงให้ออกซิเจน และท่านก็ขอกลับไปที่วัด ซึ่งคณะแพทย์ก็ตามไปดูแลกระทั่งท่านละสังขารไปในที่สุด 

หลวงปู่ปัญญา ปัญญาวัฑโฒ .jpg
bottom of page