top of page

ประวัติ

ท่านพระครูปัญญาวิสุทธิ์ มีนามเดิมว่า บัวพา แสงศรี เกิดเมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ เป็นบุตรคนโต (ในจำนวน ๗ คน) ของนายหยาดและนางทองสา แสงศรี มีอาชีพทำนาทำไร่ ชาติภูมิอยู่บ้านบึงแก อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันนี้ขึ้นกับจังหวัดยโสธร) ต่อมาบิดามารดาได้อพยพไปตั้งหลักแหล่งอยู่บ้านกุดกุง ตำบลสงเปือย อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร อุปนิสัยของเด็กชายบัวพา แสงศรี เป็นคนพูดน้อย มีความอ่อนน้อมถ่อมตนเชื่อฟังผู้ใหญ่ เป็นคนว่านอนสอนง่าย อยู่ในโอวาทของบิดามารดาเมื่ออายุครบเกณฑ์เข้าเรียนหนังสือ ก็เข้าโรงเรียนประชาบาลประจำหมู่บ้าน จนจบหลักสูตรของการศึกษาในสมัยนั้น

 

นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นต้นมา ทางสำนักพระราชวังได้นิมนต์หลวงปู่บัวพาไปในงานพระราชพิธีบำเพ็ญกุศลของสำนักพระราชวัง เป็นประจำทุกปี ส่วนมากหลวงปู่บัวพาจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ พร้อมกับท่านเจ้าคุณพระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) หลวงปู่บัวพาได้บำเพ็ญศาสนกิจ ฝึกอบรมสานุศิษย์เรื่อยมา 

 

ครั้นเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๘ หลวงปู่บัวพาได้รับนิมนต์ไปในพระราชพิธีบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันเฉลิมพระชนพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ในพระราชวัง หลวงปู่บัวพาได้เป็นลมอาพาธกะทันหันในงานพระราชพิธีนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ จึงรับสั่งให้แพทย์หลวงถวายการรักษา และนำหลวงปู่ส่งโรงพยาบาลวิชัยยุทธ และได้รับหลวงปู่บัวพาไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ และเสด็จไปเยี่ยมในขณะที่หลวงปู่อยู่โรงพยาบาลถึง ๓ ครั้ง จนกระทั่งอาการของหลวงปู่บัวพาดีขึ้นจึงได้ออกจากโรงพยาบาลในปลายเดือน กันยายน ๒๕๒๘

 

พ.ศ. ๒๕๑๙ หลวงปู่บัวพาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรพัดยศชั้นตรีที่ พระครูปัญญาวิสุทธิ์ เป็นเจ้าคณะตำบลบ้านหม้อ เขต ๒ อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย หลวงปู่ได้แนะนำสั่งสอนประชาชนให้ตั้งมั่นอยู่ในหลักศีลธรรม ถือหลักกตัญญูกตเวทีเป็นสำคัญ ทางด้านการปกครองคณะสงฆ์ในฐานะที่หลวงปู่เป็นเจ้าคณะตำบล ท่านได้อบรมแนะนำพร่ำสอนให้พระภิกษุสามเณรเคร่งครัดในพระธรรมวินัย เคารพกฎระเบียบของคณะสงฆ์ วางตนให้อยู่ในฐานะอันเหมาะสม

ธรรมโอวาท 

หลักธรรมที่หลวงปู่บัวพาเทศนาอบรมสั่งสอนมักจะเป็นเรื่องการฝึกฝนอบรมจิตใจและการรู้จักสภาพที่แท้จริงของจิต ท่านสอนว่า "ธรรมชาติของปกติจิต คือพื้นที่ของภวังคจิต เป็นจิตที่ผ่องใสไพโรจน์ จิตที่แปรผันออกจากพื้นที่ของมันเพราะตัวอวิชชา คือ ความไม่รู้เท่าทันต่อโลก ไม่รู้เท่าทันต่ออารมณ์ จิตจึงได้ผันแปรออกจาก "ความปกติ" (หมายถึงความสงบ) แล้วกลายเป็นบุญหรือกลายเป็นบาป บุญก็ดีบาปก็ดีท่านเรียกว่า "เจตสิกธรรม" ซึ่งมีอยู่ประจำโลก เป็นกลาง ๆ ไม่ใช่เป็นของใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ บุญหรือบาปไม่ได้วิ่งเข้าไปหาใครมีแต่ตัวบุคคลเท่านั้นที่วิ่งเข้าไปหาบุญแลบาป บุญนั้นมีผลเป็นความสุข ส่วนบาปมีผลเป็นความทุกข์ อารมณ์ ๖  คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและธรรมารมณ์ จึงเปรียบเหมือนลม ๖ จำพวก ทวาร ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และหทัยวัตถุ เปรียบเหมือนฝั่งมหาสมุทร จิตใจของคนเราก็เปรียบเหมือนน้ำในมหาสมุทร เมื่อลม ๖ จำพวก เกิดเป็นพายุใหญ่ในเวลาฝนตกทำให้น้ำในมหาสมุทรเกิดเป็นคลื่นแล้วระลอกใหญ่โตเรือ แพ หลบไม่ทันก็ล่มจมเสียหายขึ้นนี้ฉันใด อุปมัยดังพาลชนไม่รู้เท่าทันโลก ไม่รู้เท่าทันอารมณ์ปล่อยให้โลกเข้ามาประสมธรรมปล่อยให้อารมณ์เข้ามาประสมจิต จึงเกิดราคะ โทสะ โมหะ ถ้าอยากเห็นวิมุตติ ก็ให้เพิกถอนสมมุติออกให้หมดเพราะโลกบังธรรม อารมณ์บังจิตฉันใด สมมุติก็บังวิมุตติฉันนั้น คนเราควรใช้สติปัญญาเป็นกล้องส่องใจจะได้รู้ว่าสภาพที่แท้จริงของจิตเป็นอย่างไร"

 

ปัจฉิมบท

หลวงปู่บัวพาได้บำเพ็ญสมณธรรม ปฏิบัติศาสนกิจ อบรมสั่งสอนสานุศิษย์ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ให้ยึดมั่นในพระรัตนตรัย และสำเหนียกในไตรสิกขา อันเป็นแนวทางแห่งอริยมรรค จนในที่สุดสรีระร่างกายของหลวงปู่ก็เป็นไปตามกฎแห่งไตรลักษณ์ คือ เกิดมาแล้วก็มีอันเสื่อม สิ้นไปเป็นธรรมดา


หลวงปู่บัวพาได้มรณภาพด้วยโรคชราเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๓๕ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันมหาปวารณาออกพรรษาพอดี หลวงปู่ได้ละกายสังขารอันเป็นภาระหนักและทรมาน ที่อาพาธมานานไปโดยอาการอันสงบเมื่อเวลา ๒๐.๔๕ น. สิริรวมอายุได้ ๘๑ ปี ๑๑ เดือน ๑๑ วัน นับพรรษาได้ ๖๑ พรรษา คณะสงฆ์พร้อมด้วยศิษยานุศิษย์ได้จัดงานฌาปนกิจศพ โดยขอพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ ในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ ณ เมรุวัดป่าพระสถิตย์ อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย

หลวงปู่บัวพา  ปญฺญาภาโส

(พระครูปัญญาวิสุทธิ์)

วัดป่าพระสถิตย์ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
หลวงปู่บัวพา  ปญฺญาภาโส(พระครูปัญญาวิสุท
bottom of page