top of page

หลวงปู่ชา สุภทโท

(พระโพธิญาณเถร)

วัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
หลวงปู่ชา สุภทโท (พระโพธิญาณเถร).jpg

ประวัติ

พระโพธิญาณเถระ(ชา สุภทโท) หรือหลวงพ่อชา หรือ อาจารย์ชาเกิดเมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ ๒๔๖๑ ตรงกับวันศุกร์ขึ้น ๗ ค่ำเดือน ๗ ปีมะเมีย บ้านจิกก่อ หมู่ที่ ๙ ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบจังหวัดอุบลราชธานีบิดาชื่อนายมาช่วงโชติมารดาชื่อนางพิมพ์ช่วงโชติ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันจำนวน ๑๐ คน 


หลวงพ่อชาได้รับการศึกษาชั้นประถมศึกษาณโรงเรียนบ้านก่อ ตำบลธาตุอำเภอวารินชำราบ อุบลราชธานีจนจบชั้นประถมปีที่ ๑ แล้วได้ลาออกจากโรงเรียนเพราะมีจิตใจใฝ่ทางบวชเรียน ภายหลังเมื่อบวชเรียนแล้ว ได้เรียนหนังสือธรรม เรียนบาลีไวยากรณ์ เรียนมูลกัจจายน์จนสามารถอ่านแปลภาษาบาลีได้ และได้ศึกษา   พระปริยัติธรรมจนสอบได้ชั้นสูงสุดสายนักธรรม คือ สอบได้นักธรรมชั้นเอก 
เมื่ออายุ ๑๓ ปี หลังจากลาออกจากโรงเรียนปฐมศึกษาแล้ว โยมบิดาได้นำไปฝากกับเจ้าอาวาส เพื่อเรียนรู้บุพกิจเบื้องต้น เกี่ยวกับบรรพชาวิธี จึงได้รับอนุญาตให้บรรพชาเป็นสามเณร ชา โชติช่วง เมื่อเดือนมีนาคมพ.ศ ๒๔๗๔ โดยมีท่านพระครูวิจิตรธรรมภาณี พวง อดีตเจ้าอาวาสวัดมณีวนารามอุบลราชธานี เป็นอุปัชฌาย์สามเณรโชติช่วง ได้อยู่จำพรรษาและศึกษาพระปริยัติธรรมตลอดจนอยู่ปฏิบัติครูอาจารย์ เป็นเวลา ๓ ปีได้เอาใจใส่ต่อภารกิจของสามเณรท่อง สวดมนต์ทำวัตรศึกษาหลักสูตรนักธรรมปฏิบัติพระเถระแล้วจึงได้ลาสิกขาบทมาช่วยบิดามารดาทำไร่ทำนา ทั้งนี้ด้วยความจำเป็นของครอบครัวแบบชาวไร่ชาวนาอีสานทั่วไปด้วยจิตใจที่ใฝ่ในการบวชเรียน จึงสำนึกอยู่ตลอดเวลาว่าจะต้องอุปสมบทเป็นพระให้ได้เมื่อครบ ๒๐ บริบูรณ์ ภายหลังเมื่อตกลงกับบิดามารดาและท่านทั้งสองก็อนุญาต แล้วจึงได้ฝากตัวที่วัดก่อ ในที่ใกล้บ้านแล้วได้รับอนุญาตให้อุปสมบทได้เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๒ เวลา ๑๓.๕๕ น. ณ พัทธสีมาวัดก่อในตำบลธาตุ  อำเภอวารินชำราบ อุบลราชธานี โดยมีพระเถระสำคัญที่ให้การอุปสมบทดังนี้ พระครูอินทรสารคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวิรุฬสุตการ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการสอนเป็นพระอนุสาวนาจารย์ 


พระชาสุภทุโทได้จำพรรษาอยู่ ณวัดก่อนอก ๒ พรรษา ตั้งใจศึกษาปริยัติธรรม ทั้งจากตำรับตำราและจากครูอาจารย์จนสอบนักธรรมชั้นตรีได้ในสำนักวัดก่อนอกนี้ ศึกษาปริยัติธรรมต่างถิ่น เมื่อพระชาสุภทุโท สอบนักธรรมตรีได้ แล้วก็อยากเรียนให้สูงขึ้นเพราะมีจิตใจรักชอบทางธรรมอยู่แล้วแต่ขาดครูอาจารย์ในการสอนระดับสูงต่อไปนึกถึงภาษิตอีสานที่ว่า "บ่ออกจากบ้านบ่ฮู้ฮ่อมทางเทียว บ่เฮียนวิชาห่อนสิมีความฮู้" ชีวิตช่วงนี้จะเห็นได้ชัดว่า พระชา สุภทุโท มุ่งเรียนปริยัติธรรมให้สูงสุด จึงทุ่มเทให้การศึกษาทั้งนักธรรมและบาลี และผ่านสำนักต่าง ๆมากมาย จนในที่สุดก็สอบนักธรรมได้ครบตามหลักสูตรคือ สอบนักธรรมชั้นโทได้ในสำนักของพระครูอรรถธรรมวิจารณ์ สอบธรรมนักธรรมชั้นเอกได้ในสำนักวัดบ้านก่อนอกถิ่นเกิด สู่การปฏิบัติธรรม เสร็จภารกิจการศึกษาประกอบกับเกิดธรรมสังเวชคราวโยมบิดาเสียชีวิต จึงหันมาสู่การปฏิบัติธรรมโดยออกธุดงค์และศึกษาหาแนวทางปฏิบัติในสำนักต่าง ๆผ่านอาจารย์ก็มากมายเช่นหลวงปู่กินรี พระเถระชาวเขมร อาจารย์คำดี พระอาจารย์มั่น อินทรีย์แก่กล้าแล้วก็ออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมต่อไปเรื่อย ๆ โดยยังธำรงสำนักเพศเป็นพระมหานิกายอยู่ตลอดเวลา จนในที่สุดได้รับอาราธนาจากโยมมารดาและพี่ เพื่อกลับไปโปรดสัตว์ที่บ้านเกิด เมื่อพ. ศ. ๒๔๙๗ ก็ได้ดำเนินการสร้างวัดป่าขึ้นซึ่งเรารู้จักในปัจจุบันคือ วัดหนองป่าพง และท่านธำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดนี้มาโดยตลอด และถึงแก่มรณภาพเมื่อ ๑๖ มกราคม ๒๕๓๕ เวลา ๐๔.๓๐ น อย่างสงบท่ามกลางธรรมสังเวชของศิษยานุศิษย์จากทุกสารทิศ

โอวาทธรรม  

ธรรมโอวาท เป็นคำสอน เป็นคติ เป็นปรัชญาสั้น ๆ ที่คมลึกซึ้ง ใครได้ฟังแล้วจะเกิด ความรู้สึกซาบซึ้ง และบางครั้งอาจจะถึงกับอุทานออกมาว่า ท่านคิดและกลั่นกรองคำเหล่านี้ออกมาจากจิตได้อย่างไรถ้าจิตนั้นไม่บริสุทธิ์แจ่มใสเยี่ยมผู้บรรลุธรรม ขอท่านได้สังเกตคำสอนนี้ต่อไป 


ธรรมดา ๆ

ตามความเป็นจริงแล้ว โลกที่เราอยู่นี้ไม่มีอะไรทําไมใครเลย 
ไม่มีอะไรจะเป็นที่วิตกวิจารณ์เลย 
ไม่มีอะไรที่น่าจะร้องไห้หรือหัวเราะ 
เพราะมันเป็นเรื่องอย่างนั้นธรรมดา ๆ 
แต่เราพูดธรรมดาได้แต่มองไม่เห็นธรรมดา 
แต่ถ้าเรารู้ธรรมะสม่ำเสมอ 
ไม่มีอะไรเป็นอะไรแล้ว 
มันเกิดมันดับของมันอยู่อย่างนั้น 
เราก็สงบ


การปฏิบัติคืออำนาจ

พระพุทธศาสนาไม่มีอำนาจอะไรเลย แมงก้นทองคำก็ไม่มีราคาถ้าเราไม่มารวมกันว่ามันเป็นโลหะที่ดีมีราคา ทองคำมันก็ถูกทิ้งเหมือนก้อนตะกั่วเท่านั้นแหละ พระพุทธศาสนาตั้งไว้มีอยู่ แต่ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติจะไปมีอำนาจอะไรเล่า อย่างธรรมะเรื่องขันติมีอยู่ แต่เราไม่อดทนกัน มันจะมีอำนาจอะไรใหม ?


ชนะตนเอง
ถ้าเราชนะตัวเอง
มันก็จะชนะทั้งตัวเองชนะทั้งคนอื่น
ชนะทางอารมณ์ ชนะทั้งรูป ชนะทั้งเสียง ทั้งกลิ่น
ทั้งรส ทั้งโผฏัฐพพะ
เป็นอันว่าชนะทั้งหมด


สุขทุกข์
คนที่ไม่รู้จักสุข ไม่รู้จักทุกข์นั้น
    ก็เห็นว่า สุขกับทุกข์นั้นมันคนละระดับ
    มันคนละราคา
    ถ้าผู้รู้ทั้งหลายแล้ว
    ท่าน จะเห็นว่า
    สุขเวทนา กับทุกขเวทนา
    มันมีราคาเท่าเท่ากัน


เกิดตาย
เมื่อเราเกิดมาแล้วโยม ก็คือเราตายแล้วนั่นเอง
ความแก่กับความตายมันก็คืออันเดียวกันนั่นแหละ
เหมือนกับต้นไม้ อันหนึ่งต้น อันหนึ่งปลาย
เมื่อมีโคนมันก็มีปลาย
เมื่อมีปลายมันก็มีโคน
ไม่มีโคนปลายก็ไม่มี
มีปลายก็ต้องมีโคน
มีแต่ปลายคนไม่มีก็ไม่ได้
มันเป็นอย่างนั้น


งูเห่า
อารมณ์นี้ก็เหมือนกับงูเห่าที่มีพิษร้ายนั้น
อารมณ์ที่พอใจก็มีพิษมาก
อารมณ์ที่ไม่พอใจก็มีพิษมาก
มันทำให้จิตใจของเราไม่เป็นเสรี
มันทำให้จิตใจไขว้เขวจากหลักธรรมของพระพุทธเจ้า


ของจริง
ธรรมดาของจริงของแท้ที่ทำให้บุคคลเป็นอัจฉริยะได้
มิใช่เพียงศึกษาตามตำรา
และนึกคิดคาดคะเนเอาเท่านั้น
แต่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้นจริง ๆ
ของจริงจึงจะเป็นของจริงขึ้นมาได้

ได้เสีย
ทุกอย่างที่เรามีอยู่เป็นอยู่นั้น
มันเป็นสักแต่ว่า"อาศัย"เท่านั้น
ถ้ารู้ได้เช่นนี้ท่านว่ารู้เท่าตามสังขาร
ที่นี้แม้มันจะมีอะไรอยู่ก็เหมือนไม่มี
ได้ก็เหมือนเสีย
เสียก็เหมือนได้


พิการ
เด็กทั้ง 2 พิการ เดินทางได้
จะเข้ารกเข้าป่าก็รู้
แต่เราพิการใจ (ใจมีกิเลส)
จะพาเข้ารกเข้าป่าหรือเปล่า
คนพิการเด็กนี้ มิได้เป็นพิษเป็นภัยกับใคร
แต่ถ้าคนพิการใจมาก ๆย่
อมสร้างความวุ่นวายยุ่งยากแก่มนุษย์และสัตว์
ให้ได้รับความเดือดร้อนมากทีเดียว
คนดีอยู่ไหน
คนดีอยู่ที่เรานี่แหละ
ถ้าเราไม่ดีแล้ว
เราจะอยู่ที่ไหนกับใคร
มันก็ไม่ดีทั้งนั้น


ชีวิต
เมื่อเราทอดอาลัยในชีวิต
วางมันเสีย ไม่เสียดาย
ไม่กลัวตาย ก็ทำให้เราเกิดความสบายและเบาใจจริง ๆ


นั่งที่ไหนดี
จะนั่งหัวแถวหรือหางแถวก็ไม่แปลก
เหมือนเพชรนิลจินดา
จะวางไว้ที่ไหนก็มีราคาเท่าเดิม
และจะได้เป็นการลดทิฐิมานะให้น้อยลงไปด้วย


ไม่กลัวตาย
กลัวอะไร?
กลัวตาย
ความตายมันอยู่ที่ไหร?
อยู่ที่ตัวเราเอง จะหนีมันพ้นได้ไหม?
ไม่พ้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
ในที่ มืด หรือในที่แจ้ง ก็ตายทั้งนั้น หนีไม่พ้นเลย
จะกลัวหรือไม่กลัวก็ไม่มีทางพ้น
เมื่อรู้อย่างนี้
ความกลัวไม่รู้หายไปไหร
เลยหยุดกลัว
เหมือนกันที่เราออกจากที่มืดสู่ที่สว่างนั่นแหละ


สอนคนอย่างไร
ทำตนให้ตั้งอยู่ในคุณอันสมควรเสียก่อนแล้ว
จึงสอนคนอื่นทีหลัง
จึงจักไม่เป็นบัสกปรก
สอนคนด้วยการทำให้ดู
ทำเหมือนพูด
พูดเหมือนทำ


มนุษยศาสตร์
มนุษยศาสตร์ทั้งหลาย มีแต่สัตว์ที่ไม่มีคมทั้งนั้น
ไม่สามารถจะตัดทุกข์ได้
มีแต่ก่อให้เกิดทุกข์
ศาสตร์เหล่านั้น ถ้าไม่มาขึ้นกับพุทธศาสตร์แล้ว
มันจะไปไม่รอดทั้งนั้น


หลับ-ไม่หลับ
ถ้าหลับมันก็ไม่รู้
ถ้ารู้มันก็ไม่หลับ


มรรคผล
มรรคผลยังไม่พ้นสมัย
คนโง่เท่านั้นที่ปฏิเสธว่า
ในพื้นที่ดินไม่มีน้ำแล้วไม่ยอมขุดบ่อ

ไม้คดคนงอ
ต้นไม้เถาวัลย์ไม่มีพิษเป็นภัยกับใคร
คนคดคนงอนั้น ร้ายนัก    
เป็นพิษเป็นภัยทั้งอยู่บ้านและอยู่วัด


หลง
คนหลงโลกคือคนหลงอารมณ์
คนหลงอารมณ์คือคนหลงโลก


นักปฏิบัติ
กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย คือนักปฏิบัติ
กินมาก นอนมาก พูดมาก คือ คนโง่


แสดงอาการ
การหัวเราะเป็นอาการของคนบ้า
การร้องไห้เป็นอาการของทารก
ฉะนั้นท่านผู้ถึงความสงบ
    จะไม่หัวเราะไม่ร้องไห้


สอนอย่างไร
ทำตนให้ตั้งอยู่ในคุณอันสมควรเสียก่อน
แล้วจึงสอนคนอื่นทีหลัง
จึงจะไม่เป็นบัณฑิตสกปรก


ความอาย
เมืองนี้ยังไม่เคยมีพระบิณฑบาตเลย
เพราะเขามีความหมายกันเป็นส่วนมาก
แต่ตรงกันข้ามกับเรา
เราเห็นว่า
คำที่ว่าอายนี้
เราเห็นว่า อายต่อบาป
อายต่อความผิดเท่านั้น


เมืองนอก
เราได้เดินทางไปเมืองนอก
และเมืองในนอก
และเมืองในใน
และเมืองนอกนอก
รวมสี่เมืองด้วยกัน


ที่รวมสมาธิ
เมื่อนั่งหลับตาให้หยุดความรู้สึกขึ้นเฉพาะลมหายใจ
เข้าลมหายใจเป็นประธาน
น้อมความรู้สึกตามลมหายใจ
เราจึงจะรู้ว่าสติมันรวมอยู่ตรงนี้
ความรู้มันจะมารวมอยู่ตรงนี้


เกาะสีชัง
เรามาอาศัยอยู่ที่เกาะนี้ คือที่พึ่งทางใน
ซึ่งเป็นที่อันน้ำคือกิเลสตัณหาท่วมไม่ถึง
แม้เราจะอยู่บนเกาะสีชัง
แต่ก็ยังค้นหาเกาะภายในอีกต่อไป
ผู้ที่ท่านได้พบ และอาศัยเกาะอยู่ได้นั้น
ท่านย่อมอยู่เป็นสุข
ต่างจากคนที่ลอยคออยู่ในทะเล  คือความทุกข์


กินแบบไหน
ฉันอาหารไม่พิจารณา
จะเป็นเหมือนปลากินเหยื่อ
ย่อมติดเบ็ด


บริขาร
บริขารทั้งปวงเป็นเพียงเครื่องประดับขันธ์ห้าเท่านั้น
การไม่รู้จักประมาณในการบริโภคบริขาร
มีความกังวลในการจัดหา
ย่อมเป็นการยุ่งยาก
ขาดการปฏิบัติธรรม
ย่อมไม่ได้รับผลอันตนพึงปรารถนา


อยู่กับใคร
การคลุกคลีอยู่กับผู้มีปฏิปทาไม่เสมอกัน
ทำให้เกิดความลำบาก
ความรู้สึกจะมารวมอยู่ตรงนี้
อารมณ์เราเป็นอย่างนี้
เราจึงจะรู้จักที่รวมแห่งสมาธิ


ปล่อยลม-ได้สมาธิ-ปัญญา
เรากำหนดลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว
เราปล่อยลงให้เป็นธรรมชาติ
อย่าไปบังคับลมให้มันยาว
อย่าไปบังคับลมให้มันสั้น
ปล่อยสภาพลมให้พอดี
แล้วดูลมหายใจเข้าออก
เมื่อปล่อยอารมณ์ได้
เสียงอะไรก็ไม่ได้ยิน
ถ้าจิตเราวุ่นวายกับสิ่งต่าง ๆ
ไม่ยอมรวมเข้ามา
ก็ต้องสูดดมเข้าไปให้มากที่สุด
จนกว่าจะไม่มีที่เก็บ
แล้วปล่อย  ลมออกให้มากที่สุด
จนกว่าลมจะหมดท้องซัก ๓ ครั้ง
ถ้าเรามีสติอย่างนี้
อย่างวันนี้  เข้าสมาธิสัก ๓๐ นาทีหรือ ๑ ชั่วโมง
จิตใจของเรา  จะมีความเยือกเย็น  ไปตั้งหลายวัน
แล้วจิตใจสะอาด
เห็นอะไรจะรับพิจารณาทั้งนั้น
นี้เรียกว่าผลเกิดจากสมาธิ
สมาธิมีหน้าที่ทำให้สงบ
เมื่อจิตเราสงบจะมีการสังวร สำรวมด้วยปัญญา
เมื่อสำรวมเข้า  ละเอียดเข้า
มันจะเป็นกำลังช่วยศีลให้บริสุทธิ์ขึ้นมาก
แล้วสมาธิก็จะเกิดขึ้นมาก
เมื่อสมาธิเต็มก็จะเกิดปัญญา


ปลดทุกข์
ทุกข์มีเพราะยึด ทุกยืดเพราะอยาก
ทุกข์มากเพราะพลอย ทุกน้อยเพราะหยุด
ทุกข์หลุดเพราะปล่อย


นักอุปมาอุปมัย
หลวงปู่ชา  นับเป็นนักปฏิบัติธรรมที่ติดดินที่สุด  ท่านสอนจากธรรมชาติที่ต่ำที่สุดเพื่อให้เกิดสิ่งที่สูงที่สุดคือมรรคผล   โดยมีคนเปรียบเทียบแง่มุมนี้ว่าคล้ายกับแนวคิดคำสอนของท่าน พุทธทาสภิกขุ 
แต่จุดเด่นอันหนึ่งของแธรรมโอวาทของหลวงปู่ชาก็คือ “การเปรียบเทียบ” ท่านหาเรื่องมาเปรียบเทียบเพื่ออธิบายคำสอนของท่านได้อย่างเหมาะเจาะและเข้าใจง่าย  ดังข้อเปรียบเทียบต่อไปนี้ 


มะม่วง
ถ้าพูดให้สั้นเข้ามา
ศีลก็ดี  สมาธิก็ดี  ปัญญาก็ดี  มันก็เป็นอันเดียวกัน
ศีลก็คือ  สมาธิ  สมาธิก็คือศีล
สมาธิก็คือ  ปัญญา  ปัญญาก็คือสมาธิ
ก็เหมือนมะม่วงใบเดียวกัน
เมื่อมันเป็นดอกขึ้นมามันก็ดอกมะม่วง
เมื่อเป็นลูกเล็กก็เรียกว่าผลมะม่วง
เมื่อมันโตขึ้นก็เรียกมะม่วงลูกโต
เมื่อโตขึ้นไปอีกก็เรียกมะม่วงห่าม
เมื่อมันสุกก็เรียกมะม่วงสุก
มันก็มะม่วงลูกเดียวนั่นแหละ
มันเปลี่ยน ๆไป
มันจะโตมันก็โตไปหาเล็ก
มันจะเล็กมันก็เล็กไปหาโต 


มีด
สมถกับวิปัสสนา 
มันแยกกันไม่ได้หรอก
มันจะแยกกันได้ก็แต่คำพูด
เหมือนกับมีดเล่มหนึ่งนะ 
คมมันก็อยู่ข้างหนึ่ง
สันมันก็อยู่ข้างนึงนั่นแหละ
มันแยกกันไม่ได้หรอก
ถ้าเราจับด้ามมันขึ้นมาอันเดียวเท่านั้น
มันก็จะติดมาทั้งคมทั้งสันนั่นแหละ 


งู
มนุษย์เราทั้งหลายไม่ต้องการทุกข์
ต้องการแต่สุข
ความจริงสุขนั้นก็คือทุกอย่างละเอียด
เช่นเดียวกับทุกข์ก็คือ  ทุกข์อย่างหยาบ
พูดอย่างง่ายๆ 
สุขและทุกข์ก็เปรียบเสมือนงูตัวหนึ่ง 
ทางหัวมันเป็นทุกข์
ทางหางมันเป็นสุข
เพราะถ้าลูกทางหัวมันมีพิษ  มันก็กัดเอา
ไปจับหางมันก็เหมือนเป็นสุข
แต่ถ้าจับไม่วาง  มันก็หันกลับมากับได้  เหมือนกัน
เพราะทั้งหัวงูและหางงู 
มันก็อยู่ในตัวเดียวกัน
เช่นเดียวกับสุขและทุกข์
ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกัน 


หมายังรู้
หมามันยังรู้จักอารมณ์ของมันเลย
เวลาหิวมันก็คราง "หงิง ๆ" 
ใครไม่รู้จักอารมณ์ของตัวเองก็ตายเสียดีกว่า 


โคตรของสมาธิ
มีอุบาสกคนหนึ่งถาม  หลวงพ่อว่า  “ถ้าทำสมาธินี้ เอาแต่ขณิกพอ  ไม่จำเป็นต้องไปไกลกว่านั้นใช่ไหมครับ”
หลวงพ่อชา  ตอบว่า  “ก็ไม่เป็นไรอย่างนั้น  คือความหมายว่า  มันต้องเดินไปถึงกรุงเทพฯก่อนว่ากรุงเทพมันเป็นอย่างนี้  อย่าไปถึงแค่โคราชซิ…. คือไปให้ถึงกรุงเทพฯก่อน  และเราก็ผ่านอุบลราชธานีด้วยผ่านโคราชด้วย  ผ่านกรุงเทพด้วย  คือเรียกว่าสมาธินะ ขณิกสมาธิ อัปปฌาสมา มันจะไปถึงที่ไหนก็ให้มันไปถึงที่  มันจึงจะรู้จักโคตรของสมาธิว่ามันเป็นอย่างไรอัปปณาสมาธิที่มันมากกว่าอุปจารสมาธิ”


หัวกลอย
ให้กลับความรักที่มีอยู่ให้กลายเป็นความรักสากล 
ให้กลายเป็นความรักที่มีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย
รักเหมือนแม่รักลูก  พ่อรักลูก  แม้ผมอยู่กับพวกท่าน
ผมก็รักพวกท่านเหมือนเป็นลูกเป็นหลาน ให้ล้างความใคร่
ออกจากความรักเหมือนหัวกลอย  ต้องแล่เอาพิษออกจึงกินได้
ความรักก็เช่นเดียวกัน  ต้องพิจารณา  มองให้เห็นทุกข์ของมัน
ค่อย ๆ ล้างเอาเชื้อแห่งความมัวเมาออก  เพื่อให้เหลือแต่ความ
รักล้วน ๆ เหมือนครูบาอาจารย์รักศิษย์ 


จิตคือควาย
เปรียบเสมือนกับการเลี้ยงควาย
จิตของเราก็เหมือนควาย
อารมณ์คือต้นข้าว
ผู้รู้เหมือนเจ้าของ
เวลาเราไปเลี้ยงควายทำอย่างไร
ปล่อยมันไป
แต่เราพยายามดูมันอยู่
ถ้ามันพยายามเดินไปใกล้ต้นข้าว
ก็ตวาดมัน
ควายได้ยินก็จะถอยออกไป 
แต่เราอย่าเผลอนะ
ถ้ามันดื้อไม่ฟังเสียง
ก็เอาไม้ค้อนฟาดมันจริง ๆ
มันจะไปไหนเสีย 


วัวไม่กินหญ้าก็คือหมู
ทุกวันนี้  อาตมาไม่ค่อยได้เทศมาก  อยู่วัดอยู่ก็เหมือนกัน
ปีนี้เทศให้แม่ชีฟังถึงสองสามครั้งหรือเปล่า  ก็จำไม่ได้
พระเจ้าประสงฆ์ก็ให้อยู่เฉย ๆให้ดูเอาปฏิบัติเอง
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
เพราะเข้าใจว่า  คนมีศรัทธา  จึงเข้ามาในวัด  จึงมาบวชเป็นปะขาว
จึงมาบวชเป็นเณร  จึงมาบวชเป็นพระ
เข้าใจอย่างนั้น
ถ้าเข้าใจอย่างนั้นก็เหมือนกับวัวเราน่ะแหละ
วัวมันกินอะไร
มันกินหญ้า
จับมันมาปล่อยใส่สนามหญ้าแล้ว
ถ้ามันไม่กินหญ้ามันก็เป็นหมูเท่านั้นแหละ


นักปฏิภาณ
บางครั้งหลวงพ่อชา   ท่านมีจิตใจแจ่มใส  เดาใจคนถามได้อย่างแม่นยำ  จึงมักจะมีการใช้ปฏิภาณโต้ตอบปัญหาอย่างเฉียบแหลมอยู่เสมอ 


ใครรู้อัตตา
คนที่นับถือพระเจ้า  ไม่ยอมรับคำสอนเรื่อง "อนัตตา" ของพระพุทธศาสนา
เหตุผลของเขาคือ "จะเอาอะไรมารู้อนัตตาเหล่าถ้าไม่ใช่อัตตา" 
วันหนึ่ง  มีชาวคริสต์มาถามหลวงพ่อว่า  "ใครรู้อนัตตา"
 หลวงพ่อถามกลับทันที "ใครรู้อัตตา" 


นกไม่รู้เรื่องปลา
มีชาวต่างประเทศถามหลวงพ่อว่า  ชีวิตพระเป็นอย่างไร?  
หลวงพ่อคิดว่าตอบอย่างไรก็ไม่เข้าใจแน่  เพราะเขายังไม่รู้จักพระ
จึงตอบไปว่า  
ถึงปลาจะบอกว่าอยู่ในน้ำเป็นอย่างไร
นกก็ไม่มีทางจะรู้ได้
ตราบใดที่นกอย่างไม่เป็นปลา 


ของแปลก
ในความเคร่งเครียดในการปฏิบัติธรรม  หลวงพ่อก็ยังมีแง่มุมที่ขบขันให้เราได้เห็นบ้างเป็นการหักมุมที่ค่อนข้างจะตื่นเต้นมาก  ดังที่ท่านบันทึกไว้ในการเดินทางไป  ประเทศอังกฤษเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๒๐ ว่า 
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการเดินทางในวันที่ ๖ ในขณะที่บินอยู่เครื่องบินได้เกิดอุบัติเหตุยางระเบิด ๑ เส้นบนอากาศ  พนักงานการบินจึงได้ประกาศให้ผู้โดยสารเตรียมตัวรัดเข็มขัดมีฟันปลอมก็ต้องถอดออกแม้กระทั่งแว่นตาหรือรองเท้า  เครื่องบริขารทุกอย่างต้องเตรียมพร้อมหมดผู้โดยสารทุกคนเมื่อเก็บบริขารทุกอย่างเสร็จแล้ว  ต่างคนต่างก็เงียบ  คงคิดว่าจะเป็นวาระสุดท้ายของพวกเราทุกคนเสียแล้ว   ขณะนั้นเราก็ให้คิดว่าเป็นครั้งแรกที่เราได้เดินทางมาเมืองนอก  เพื่อสร้างประโยชน์แก่พระศาสนา  จะเป็นผู้มีบุญอย่างนี้เชียวหรือ   เมื่อระลึกได้เช่นนี้แล้วก็ตั้งสัจอธิษฐานมอบชีวิตให้พระพุทธ  พระธรรมพระสงฆ์  และก็กำหนดจิตรวมลงในสถานที่ควรอันหนึ่ง  แล้วก็ได้รับความสงบเยือกเย็นดูคล้ายกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น   พักในที่ตรงนั้นจนกระทั่งเครื่องบินได้ลดระดับลงมาถึงแผ่นดินด้วยความปลอดภัย  ฝ่ายคนโดยสารก็ปรบมือกันด้วยความดีใจ   คงคิดว่าเราปลอดภัยแล้วสิ่งที่แปลกก็คือ  ขณะเมื่อเครื่องบินเกิดอุบัติเหตุต่างคนก็ร้องเรียกว่าหลวงพ่อช่วยปกป้องคุ้มครองพวกเราทุกคนด้วย แต่เมื่อพ้นอันตรายแล้วก็เดินลงจากเครื่องบินเห็นประณมมือไหว้พระเพียงคนเดียวเท่านั้น  นอกนั้นว่าแอร์โฮสเตสทั้งหมดในที่นั้น  นี่เป็นสิ่งที่แปลก 
 

bottom of page