top of page

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

(พระสุธรรมคณาจารย์)

วัดอรัญบรรพต อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ(พระสุธรรมคณาจารย์).

ประวัติ

นามเดิม เหรียญ นามสกุล ใจขาน เกิดเมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๔๕๕ ตรงกับวันพุธ ขึ้น ๒ ค่ำ เดือนยี่ ปีชวด ณ บ้านหม้อ ตำบลบ้านหม้อ อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย บิดาชื่อ ผา มารดาชื่อ พิมพา ปฐมวัยครอบครัวของข้าพเจ้ามีอาชีพทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์ มีพี่น้องเกิดด้วยกัน ๗ คน ข้าพเจ้าเป็นคนที่ ๒ บรรดาพี่น้องผู้ที่เกิดร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๖ คนนั้น ได้ตายเสียตั้งแต่ยังเล็กทุกคน จึงไม่มีชื่อปรากฏอยู่ในที่นี้ ส่วนมารดานั้นได้ตายจากไปตั้งแต่ข้าพเจ้าอายุได้ ๑๐ ปี ครั้นอยู่ต่อมาไม่กี่เดือน บิดาก็ไปมีภรรยาใหม่ ข้าพเจ้าจึงได้อยู่กับคุณยายมาจนอายุได้ ๑๓ ปี และเรียนหนังสือไทยจบในปีนั้น
    ต่อจากนั้นจึงได้ไปอยู่กับบิดา มารดาใหม่นั้นมีลูกกับสามีคนก่อน ๕ คน ซึ่งบังเอิญสามีก็ตายไปในปีเดียวกันกับมารดาข้าพเจ้าเหมือนกัน ต่อมาได้มีลูกกับบิดาข้าพเจ้าอีก ๒ คน รวมทั้งข้าพเจ้าด้วยเป็น ๘ คนพอดี เมื่อข้าพเจ้ามาอยู่ด้วยก็ได้ทำการงานช่วยบิดามารดาร่วมกับพี่น้องทั้งหลายตลอดมา และเคารพนับถือกันฉันท์พี่น้องที่เกิดร่วมท้องเดียวกัน ไม่เคยมีการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นอย่างรุนแรงจนถึงกับแตกสามัคคีกันเลย ข้าพเจ้านั้นมีนิสัยชอบทำการงาน และทำจริง ไม่ทำเหลาะแหละเหลวไหล ทำการงานอย่างใดก็ให้เสร็จไปอย่างนั้น ไม่ทอดทิ้งการงาน และไม่ชอบเอาเปรียบผู้อื่น ไม่ชอบทะเลาะกับใครๆ ถ้าจะมีเหตุให้ทะเลาะกันก็ต้องหาทางหลีกเลี่ยง และมีความอดทนต่อคำด่าว่าติเตียนต่างๆ ไม่ถือมั่นไว้ในใจ
    พูดถึงความรักแล้ว นับว่าข้าพเจ้ามีความรักมาก เช่น รักพ่อแม่ ลุงป้า น้าอา และผู้อื่นที่เกิดร่วมวงศ์ตระกูลเดียวกัน นอกจากนี้แล้ว ยังรักขยายออกไปถึงเพศตรงข้ามซึ่งอยู่ในวัยเดียวกันในทางชู้สาว และฝ่ายตรงข้ามก็รักข้าพเจ้าเช่นเดียวกัน โดยเข้าใจว่าเขาคงจะมองเห็นคุณธรรมอันมีอยู่ในใจของข้าพเจ้า คือ ความอดทนต่อความชั่วร้ายดังกล่าวมานั้นหนึ่ง และอดทนต่อหน้าที่การงานหนึ่ง เขาจึงได้มีความรักอย่างจริงใจต่อข้าพเจ้า

โอวาทธรรม  

"สิ่งทั้งปวงในโลกนี้มิใช่ว่าจะอำนวยแต่ความทุกข์เท่านั้น บางทีก็อำนวยความสุขให้เหมือนกัน ดังนั้นคนจึงติดมัน แต่บรรดานักปราชญ์ผู้มีปัญญาทั้งหลายท่านพิจารณาเห็นว่า มันเป็นความสุขชั่วคราวไม่ยั่งยืน ถ้าพิจารณาโดยสรุปแล้ว ก็เป็นทุกข์นั้นแหละ มากกว่าความสุข อันความสุขที่ว่านี้ มันเป็นเพียงเหยื่อล่อให้ติดอยู่ในทุกข์เท่านั้น ไม่ใช่เป็นสุขยั่งยืนแต่อย่างใด เพราะคนเราเกิดมาแล้วที่สุดก็ต้องตาย ร่างกายนี้เมื่อจิตละไปแล้ว ก็ต้องแตกสลายออกจากกัน ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย"


    "เราเกิดมาในชาตินี้เป็นบุญลาภอันประเสริฐ ที่ได้มาพบพระพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐในโลก สมควรที่จะลงมือปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์โดยความไม่ประมาท กิเลสบาปธรรมจะได้น้อยเบาบางจากดวงจิตของตน การที่คนเราจะพ้นทุกข์ไปไม่ได้ก็เพราะไม่ปฏิบัติตามคำสอน ของพระพุทธเจ้านั้นเอง"


    จิตดวงนี้เมื่อมันถูกอวิชชาครอบงำ ย่ำยีเอา มันก็หลงไป ทำดีไปบ้าง ทำชั่วไปบ้าง พูดดีบ้าง พูดชั่วบ้าง เวลาใดมันรู้ตัว มันก็พูดดีเวลาใดมันลืมตัว มันก็พูดชั่ว-ทำชั่ว (โทษแห่งความรัก) นี่แหละเรื่องวิปัสสานานะมันต้องเห็นแจ้งจริงๆ เห็นแจ้งในใจว่าขันธ์ห้านี้ไม่ควรยึด ไม่ควรถือ เพราะว่ามันไม่เที่ยง ขืนยึดถือไว้มันก็เป็นทุกข์ เพราะมันแปรปรวนไปอยู่เสมอ มันไม่อยู่ในบังคับบัญชาของผู้ใด อันนี้นะ ความรู้ความเห็นอย่างว่านี้มันจะเป็นไปได้ มันก็ต้องอาศัยปัญญา อาศัยสมาธิเป็นฐานที่ตั้งของปัญญา (ผลเป็นสุขจริงด้วยปัญญา) ร่างกายมันก็ไม่ว่ามันเป็นทุกข์แต่ว่ามันหากมีลักษณะของทุกข์ ปรากฏให้จิตรู้อยู่ คือ ความไม่เที่ยงของร่างกายนั้น ไม่มีจิตนี้มาครองอาศัยอยู่แล้ว มันจะไม่มีใครรับรู้ความทุกข์ของร่างกายอันนี้เลย ก็เพราะจิตนี้มาครองอยู่นี่ จิตจึงเป็นผู้รับรู้ ความทุกข์ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายนี้ (ความไม่เที่ยงแท้) พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้คนเราจำเอาคำสอนของพระองค์ไว้เฉยๆ เมื่อจำได้แล้วให้ลงมือดัดแปลงกาย วาจา ใจ ของตนให้เป็นไปตามคำสั่งสอนนั้น ถ้าตนดัดแปลงกาย วาจา ใจ ให้ตรงไปตามคำสอนแล้ว ก็พยายามรักษาความรู้ ความเห็นที่เป็นศีลเป็นธรรมนั้นไว้ (ความดับทุกข์)


หอบทุกข์ 
    การฝึกจิตให้เข้าถึงความสงบนี้ เป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ ให้ถือเป็นเรื่องจำเป็น ถ้าปล่อยจิตให้เลื่อนลอยไปตามอำนาจของกิเลสก็มีแต่ทุกข์อยู่ในปัจจุบันนี้ก็ทุกข์ใจหนักใจมาก ละโลกนี้ไปสู่โลกหน้าก็ทุกข์หอบเอากองทุกข์เหล่านี้ไปด้วย มันเป็นอย่างนั้น มันทุกข์หลาย บางคนก็ถึงฆ่าตัวตาย ไม่มีทางออก ผู้ไม่เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า ผู้ไม่ปฏิบัติตามคำสอน ให้ไหว้พระ นั่งสมาธิภาวนา ขี้คร้านไม่เอา ไม่นั่งแล้วเพราะใจมันลอย ใจมันไปยึดถือแต่เรื่องภายนอก แล้วจะมีแก่ใจมาไหว้พระ นั่งภาวนาสำรวมใจให้สงบอยู่ภายในจะได้อย่างไร การที่ภาวนาจิตใจให้มันสงบลงไปได้ก็เพราะมันเตือนใจของตนให้ละเรื่องภายนอกอยู่เสมอ ในเวลาที่ไม่ได้นั่งสมาธิภาวนา ก็ต้องเตือนใจให้ละอารมณ์ที่มากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มันกระทบมาเวลาใด เราก็พิจารณากำหนดละมันในเวลานั้นไปเรื่อยๆ ให้จิตนี้เป็นปกติอยู่เสมอ ไม่ให้จิตนี้มันเปลี่ยนแปลงหวั่นไหวไปตามอารมณ์ที่มากระทบ เช่น "ตา" เป็นต้นนั้นก็ต้องระมัดระวังอยู่อย่างนี้เสมอไป


พรหมของลูก
    ไม่ลำเอียงเพราะความรัก ก็หมายความว่า อย่างว่ามีลูกหลายคน รักคนใดมากๆ ก็แบ่งสมบัติให้ลูกคนนั้นมากกว่าคนอื่นๆ นี่เรียกว่าลุอำนาจแก่ความรัก ถ้าไม่ลำเอียงเพราะรักแล้ว ก็หมายความว่า มีเมตตากรุณาเหมือนกันหมด ลูกทุกคนบางคนก็มีนิสัยไม่ดีๆ เราก็เมตตามัน เพราะมันได้มาเกิดกับเราแล้ว อย่างนี้แหละ ก็สงเคราะห์ไปตามกำลังที่สงเคราะห์ได้ ถ้าคนที่เสียจริงๆ ทำดีไม่ได้จริงๆ มันเหลือวิสัย ก็วางอุเบกขาลง ไม่ต้องไปโกรธไปเกลียดอะไร ก็กรรมของเขาสร้างมาอย่างนั้น เราจะทำอย่างไรได้ ฝึกอย่างไรจะให้มันดีมันก็ดีไม่ได้อย่างนี้ ถ้าขืนโกรธไป โมโหโทโสไป เสียใจกับลูกคนนั้นอยู่ ก็เป็นทุกข์เปล่าๆ เสียใจอย่างไรลูกก็ทำดีไม่ได้ เพราะว่านิสัยไม่ดีแต่ก่อน แต่ชาติก่อนโน้นแหละ ถ้าหากว่าผู้เป็นพ่อแม่ไม่รู้จักวางอุเบกขาลง ไม่นึกถึงกรรมของสัตว์แล้ว มันก็เป็นทุกข์


เกินพอดี
    คู่ครองเรือนก็สร้างสมความรักเอาจนเกินพอดีอันเป็นเหตุให้ประพฤตินอกใจกันและกันทางประเวณีพูดตรงๆก็ว่าไปเล่นชู้กับผัวเล่นชู้กับเมียนั่นเอง นี่เรียกว่าความรักมันเกินพอดีถ้าเป็นภิกษุสามเณรก็ความรักเกินขอบเขต ก็เป็นเหตุให้ล่วงสิกขาบทวินัยน้อยใหญ่ทั้งหลาย พรหมจรรย์ก็อับเฉาลง เหมือนพระจันทร์ในข้างแรม เจริญไปไม่ได้


เกิดจากตม
    สาเหตุที่จะมีศาสนาบังเกิดขึ้นในโลก มีผู้สร้างบารมีปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในโลก ก็เนื่องมาจากคนทั้งหลายไม่รู้จักหนทางออกจากทุกข์เมื่อได้ประสบกับความทุกข์แล้วก็ร้องไห้ รำไร ตีอกชกหัวต่างๆ นานาตายไปพร้อมด้วยกับความทุกข์ หอบเอาความทุกข์ติดตัวไปด้วยอย่างนี้แหละ บุคคลยังไม่รู้แจ้งในโลกนี้ตามเป็นจริงอย่างนั้น บัดนั้นให้พากันเข้าใจ เหตุจะมีศาสนาขึ้นมานี่ก็เพราะมันมีทุกข์นี่แหละ


จรจัด 
    แต่คนส่วนมากแย่จริงๆ ไม่ยอมที่จะข่มจิต เพ่งจิตให้เข้าถึงความสงบ มีแต่ยอมตกเป็นทาสของตัณหา ปล่อยจิตให้ฟุ้งไปภายนอกอยู่อย่างนั้น และจะไม่ให้มันเกิดอีกทำอย่างไร แล้วผู้ที่ยึดอารมณ์แต่ภายนอกจนตลอดถึงวันตายอย่างนี้ ตายก็เอาไปไหนไม่ได้แล้วจิตก็วกเวียนอยู่กับสิ่งที่ตนรักตนชอบใจ เมื่อบุคคลไปมีจิตเลื่อนลอยฟุ้งซ่านอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำบุญ เมื่อไม่ได้ทำบุญแล้วจิตใจก็เร่ร่อนพเนจรเหมือนคนไม่มีหลักไม่มีแหล่ง ไม่มีบ้านอยู่เป็นของตัว เป็นคนจรจัด อาศัยบ้านคนนั้น อาศัยบ้านคนนี้ อาศัยศาลาวัด อาศัยสถานที่สาธารณะเป็นที่หลับที่นอน ไปขอทานเขากินอยู่อย่างนั้น จิตใจที่ไม่ได้ฝึกฝนให้เข้าถึงความสงบ ไม่ทำบุญกุศล ไม่ทำความดีให้เป็นประโยชน์ตนและผู้อื่น หรือทำก็นิดๆหน่อยๆ อย่างนี้มันก็สู้อำนาจกิเลสไม่ได้ เมื่อตายลงอย่างนี้ กิเลสมันก็จูงไปตามประสงค์แล้ว ถ้าทำบาปมาก มันก็ไม่ได้มาล่องลอยอยู่กับโลกมนุษย์นี้แล้ว บาปกรรมฉุดคร่าไปสู่อบายภูมิ พิจารณาให้เห็นด้วยตนเอง


สุขชั่วคราว 
    ชีวิตนี้อย่าไปหลงความสุขชั่วคราว อย่าไปติดอยู่กับความสุขชั่วคราวนี้ แล้วจะไม่ได้พบความสุขอันไพบูลย์เลย ผู้ใดติดอยู่ในความสุขชั่วคราว ติดอยู่ในการกิน ไม่ได้กินอาหารอันอร่อย ไม่ได้ฆ่าสัตว์มาทำอาหารกินมันไม่อร่อย นั่นเรียกว่าติดในการกิน อันเป็นเหตุให้ทำบาป ติดในการนอน ได้นอนมากก็ถือว่าดี ร่างกายจะได้สมบูรณ์ ถ้านอนน้อยกลัวร่างกายจะซูบผอม ไม่ได้ ต้องนอนให้มากๆ เรียกว่าติดในการนอน ไม่แบ่งเวลาประกอบความเพียรทางจิตเลย ก็เลยไม่ได้ผลในจิตใจ ไม่ได้ชำระกิเลสออกจากจิตใจนี้ ลองสังเกตดู


คลื่นซัด 
    บุคคลผู้ไม่มีสมาธิจิต ไม่ทำจิตให้สงบแล้ว อะไรกระทบกระทั่งมัน มันก็ไม่รู้สึกตัว ท่านว่าจิตมากระทบเข้ามีแต่ว่าเจ็บอย่างเดียวเท่านั้น แทนที่จะวินิจวิฉัยว่ามันเจ็บเพราะอะไรๆ มันถึงเจ็บอย่างนี้ มันคิดไม่ได้เลย เมื่อมันเจ็บหนักๆเข้า มีแต่ร้องครวญครางไป ดิ้นรนกระสับกระส่ายไปเนั้นเอง อันนี้ท่านจึงเรียกว่า คนเราอันดวงจิตนี้มันตกไปตามกระแสของกิเลสตัณหา เหมือนกับบุคคลที่เดินทางโดยเรือกระแสของกิเลสตัณหา เหมือนกับบุคคลที่เดินทางโดยเรือเดินมหาสมุทรลงสู่ทะเล คลื่นซัดไปท้องมหาสมุทรทะเลนั้นนะ สุดแล้วแต่คลื่นมันจะซัดไปไหนก็ตามมัน

bottom of page